หากจะพูดถึงจังหวัดหนองคาย ก็คงจะไม่มีใครไม่พูดถึง ตํานานพญานาค และบั้งไฟพญานาค ที่ถือเป็นตํานานพญานาคอันโด่งดังของจังหวัดหนองคายเลยก็ว่าได้ ทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ ต่างก็พากันเดินทางเพื่อไปรอดูบั้งไฟพญานาคกันอย่างแพร่หลายในวันออกพรรษาของทุก ๆ ปี
นาค หรือพญานาคนั้น เชื่อว่าเป็นงูที่มีหงอนขนาดใหญ่ ซึ่งพญานาคเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่และความอุดมสมบูรณ์ และนอกจากนั้น พญานาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่สวรรค์ เราจึงนิยมเห็นตามวัดต่าง ๆ ที่จะสร้างให้ทางขิ้นโบสถ์ต่าง ๆ มักจะมีรูปปั้นพญานาคอยู่ข้างบันได เพื่อให้เป็นการเปรียบเทียบถึงการเดินทางเข้าสู่ความสงบสุขนั่นเอง
ตำนานพญานาคนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยชาวบ้านเชื่อกันว่า ภายในแม่น้ำโขงนั้นมีเมืองบาดาลซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค ซึ่งหลายคนที่เคยพบเห็นร่องรอยของงูขนาดใหญ่ใกล้แม่น้ำ เชื่อกันว่าเป็นรอยของพญานาคที่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ โดยตำนานของพญานาคนั้นมีการเล่าสืบต่อกันมาหลากหลายรูปแบบ โดยเชื่อว่าพญานาคเป็นผู้ปกป้องพระพุทธเจ้าครั้งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว และเสด็จไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อแสดงธรรม
(ภาพจาก pixabay.com)
โดยครั้งนั้นได้เกิดพายุและฝนตกอย่างหนัก พญานาคจึงได้เลื้อยเข้าหาพระพุทธเจ้าก่อนจะม้วนตัวเป็นวง 7 รอบเพื่อรองเป็นฐานให้พระพุทธเจ้ายกตัวขึ้นพ้นจากน้ำที่พื้นและแผ่วงปกคลุมเหนือหัวพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นร่มกันลมฝน จึงทำให้มีการสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกขึ้นมาเพื่อแสดงเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น และแสดงถึงความศรัทธาของพญานาคที่มีต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
นอกจากนั้น ยังมีตำนานที่ว่า มีพญานาคตนหนึ่งแปลงกายเพื่อมาขอบวชกับพระพุทธเจ้าเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์ โดยเมื่อพญานาคตนนั้นจำวัดอยู่บนกุฏิ ก็ได้เผลอแปลงกายกลับสู่ร่างเดิม ทำให้พระพุทธเจ้าทราบเรื่องก็จึงกล่าวแก่นาคว่า พญานาคนั้นเป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ แต่ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าของนาค จึงขอร้องกับพระพุทธเจ้าว่า หากผู้ใดที่ต้องการบวชให้ทำการเรียกคนผู้นั้นว่านาค เพื่อเป็นการระลึกถึงตน ดังนั้นในปัจจุบัน ใครที่จะลาบวชจึงมักถูกเรียกว่านาคนั่นเอง
(ภาพจาก pixabay.com)
ตำนานบั้งไฟพญานาคนั้นเกิดจากเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปแสดงธรรมบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเมื่อครบกำหนดวันออกพรรษา พญานาคและเหล่าบริวารได้จัดทำเครื่องไฟถวายเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าลงมาจากสวรรค์ ทำให้หลังจากนั้นทุก ๆ วันออกพรรษาจะมีบั้งไฟโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ เพื่อเป็นการแสดงความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า
ถึงแม้ว่าตำนานพญานาคความเชื่อเหล่านั้น จะมีหลักฐานต่าง ๆ จากการที่มีคนถ่ายภาพเป็นภาพคล้ายกับงูที่มีหงอนโผล่กลางแม่น้ำโขง หรือร่องรอยของคราบงูในสถานที่ต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าพญานาคนั้นมีจริงไหม บ้างก็ว่าพญานาคนั้นจะโผล่ขึ้นมาให้กับคนที่มีบุญเท่านั้นที่จะเห็นตัวได้ แต่บ้างก็บอกว่ารูปที่ถ่ายนั้น เป็นเพียงรูปของปลาชะโดที่มีความคล้ายกับพญานาคนั่นเอง ส่วนเรื่องราวของบั้งไฟพญานาคนั้น บางคนก็บอกว่าอาจจะเป็นการจุดพลุใต้น้ำของคนบางกลุ่มเพื่อสร้างความเชื่อให้กับคนไทย แต่ก็มีการพิสูญจน์โดยการดำน้ำลงไปใต้ผิวน้ำในเวลาที่เกิดบั้งไฟพญานาคแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไร บางคนก็บอกว่า บั้งไฟพญานาคนั้นเป็นเพียง ก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน ที่เกิดการหมักหมม และเกิดความดันก๊าซใต้พื้นดินทำให้เกิดการพุ่งกระจายขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดว่า การเกิดปรากฏการ์ณต่าง ๆ นั้น ความจริงเป็นเช่นไร
(ภาพจาก pixabay.com)
ถึงแม้ว่าตำนานพญานาคนั้นจะเป็นความเชื่อที่อาจจะดูงมงายแต่จากหลาย ๆ เหตุการ์ณก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ หากว่าเป็นแค่นิทานหลอกเด็กจริง ๆ นั้น แล้วทำไม่บั้งไฟพญานาคถึงสามารถเกิดขึ้นได้ตรงกับวันออกพรรษาของทุกปี และร่องรอยการเลื้อยของงูใหญ่ที่พบนั้น เป็นของงูชนิดอะไร ทั้งนี้ ทางเราก็อยากจะให้ทุก ๆ คนดำรงอยู่บนรากฐานของความดีและความซื่อสัตย์ถึงแม้ว่าตำนานจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ความดีและความซื่อสัตย์ จะอยู่เป็นความจริงที่ติดตัวเราตลอดไป
ขอบคุณภาพจาก pixabay.com
บทความที่คุณอาจสนใจ